ต่อจากนี้ไปทุกธุรกิจจะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยจาก AI และบริษัทหรือหน่วยงานต่าง ๆ จะเริ่มมีการนำ AI มารวมเข้ากับระบบการดำเนินงานของตัวเอง วัฒนธรรมองค์กรเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความรวดเร็วและความสำเร็จของกระบวนการดังกล่าว ซึ่งหากทำได้ดี AI จะสามารถช่วยสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรของคุณได้เช่นกัน
AI ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร
การศึกษาของ MIT แสดงให้เห็นว่า ChatGPT ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพนักงานโดยช่วยสนับสนุนผู้ที่มีทักษะเฉพาะทางน้อย เพิ่มความพึงพอใจในงาน และเพิ่มความเชื่อมันในความสามารถของตนเองของพนักงาน นอกจากนั้นยังนำมาซึ่งความกังวลและความตื่นเต้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี AI อีกด้วย
การควบคุมปรับแต่ง AI ที่ทำได้อย่างละเอียดนั้นทำให้มันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทั้งบุคคลและทีม เพิ่มความคล่องตัวให้กับขั้นตอนต่าง ๆ และแม้แต่ทำงานบางอย่างให้เสร็จ ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีความสำคัญมากขึ้นได้
การทำงานที่เคยเป็นเรื่องน่าเบื่ออาจกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เนื่องจากพนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีเวลาไปลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่พวกเขาอาจไม่เคยมีโอกาสมาก่อน เมื่อสิ่งนี้กลายเป็นจริงได้ พนักงานจะรู้สึกมีพลังในการทำงานที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจด้วยโซลูชั่นที่สร้างสรรค์และมีนวัตกรรม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Erik Brynjolfsson นักเศรษฐศาสตร์จาก Stanford University และนักเศรษฐศาสตร์ของ MIT Danielle Li และ Lindsey R. Raymond ได้เผยแพร่การศึกษาเรื่อง “Generative AI at Work” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของ AI ต่อบริษัทซอฟต์แวร์ที่นำมันมาใช้เพื่อช่วยในการตอบสนองการบริการลูกค้า
ผลการวิจัยพบว่าการเข้าถึงเครื่องมือช่วยเพิ่มผลิตภาพของพนักงานโดยเฉลี่ย 14% ลูกค้ามีการให้คะแนนกับเจ้าหน้าที่สนับสนุนเพิ่มขึ้น มีโอกาสในการส่งเรื่องต่อไปยังหัวหน้างานลดลง อัตราการลาออกของพนักงานใหม่ลดลง และพนักงานที่มีระดับความสามารถต่ำและมีทักษะเฉพาะทางน้อยมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด พัฒนาการนี้ส่วนหนึ่งมีผลมาจากเครื่องมือ AI ซึ่งนำบทสนทนาที่เป็นไปได้ด้วยดีมาใช้สร้างคำตอบสำหรับคำถามอื่น ๆ
“พนักงานที่มีทักษะสูงมักจะคิดคำตอบดี ๆ ได้ แต่นั่นจะช่วยแค่พวกเขากับลูกค้าของพวกเขาเท่านั้น” Brynjolfsson กล่าว “ตอนนี้คำตอบที่ดีนั้นจะถูกขยายให้มากขึ้นและนำไปใช้โดยคนทั่วทั้งองค์กร”
พิจารณาความพร้อมขององค์กรสำหรับการเปลี่ยนแปลงจาก AI
“วัฒนธรรมทางธุรกิจส่งผลต่อการใช้งาน AI และการใช้งาน AI ส่งผลต่อวัฒนธรรมทางธุรกิจ” Big Ideas Research Report ของ MIT Sloan Management Review กล่าว เพื่อตระหนักถึงประโยชน์เหล่านี้ ผู้นำต้องสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนการนำ AI ไปใช้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ
ทุกบริษัทจะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมของตนเองในการเริ่มใช้งานเทคโนโลยีที่ยังเป็นที่ถกเถียงและค่อนข้างคาดเดาไม่ได้ ตั้งแต่ลักษณะงานขององค์กรไปจนถึงข้อมูลประชากรของพนักงาน อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัยด้านไอทีที่มีอยู่จะมีบทบาทอย่างมากในการรับรู้ ติดตั้ง และใช้งาน AI ในองค์กร
เมื่อพิจารณาถึงประเภทของ AI และวิธีการนำมาปรับใช้ในองค์กร ประเด็นหลักประการหนึ่งของคุณควรเป็นเรื่องความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งบริษัท โดยคำถามที่ผู้นำควรตอบให้ได้มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้มีผลตอบรับอย่างไร เริ่มต้นด้วยการทบทวนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทของคุณก่อนหน้านี้ มีปัญหาทางวัฒนธรรมใดเกิดขึ้นบ้างและได้รับการแก้ไขอย่างไร สุดทายแล้วความคิดริเริ่มนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ หรืออะไรที่นำไปสู่ความล้มเหลว
- ระดับความสนใจในนวัตกรรมภายในบริษัทของคุณอยู่ในระดับใด พนักงานแสดงความกระตือรือร้นสำหรับแนวคิดใหม่ ๆ และเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงที่วางแผนมาแล้วหรือไม่
- คุณต้องการให้องค์กรของคุณใช้งาน AI อย่างไร และคุณได้สื่อสารกับพนักงานทุกคนแล้วหรือยัง การสร้างแนวทางและนโยบายสำหรับ AI จะช่วยขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานและกำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรของคุณ
- ระดับความไว้วางใจในองค์กรของคุณเป็นอย่างไร ความไว้วางใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง ผู้นำไว้วางใจให้พนักงานของตนรับความเสี่ยงและปฏิบัติตามนโยบายที่ระบุไว้หรือไม่ พนักงานเชื่อว่าผู้นำมีความซื่อสัตย์และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของพวกเขาหรือไม่
การสร้างวัฒนธรรมของความไว้วางใจไม่ได้เริ่มตอนที่คุณกำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลง หากองค์กรของคุณไม่มีนวัตกรรม ผู้นำไม่ได้ฝึกอบรมพนักงานอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือไม่โปร่งใสเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสของการเปลี่ยนแปลง การลงทุนใด ๆ ใน AI ก็จะไม่มีทางประสบผลสำเร็จ
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า 70% ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนั้นล้มเหลว และการศึกษาหนึ่งชี้ว่าปัจจัยที่มีผลสำคัญไม่ใช่เทคโนโลยีแต่เป็นคน “เทคโนโลยีมีความสำคัญ แต่มิติของบุคลากร (องค์กร รูปแบบการดำเนินงาน กระบวนการ และวัฒนธรรม) มักเป็นปัจจัยกำหนด ความเฉื่อยชาขององค์กรจากพฤติกรรมที่หยั่งรากลึกเป็นอุปสรรคใหญ่”
ความสม่ำเสมอ ความโปร่งใส การให้อำนาจ และการเริ่มใช้งานเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งทั้งหมดเกิดมาจากการศึกษาและความเข้าใจ เมื่อคุณมีการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงการสื่อสารที่ชัดเจนและทันท่วงที โอกาสในการเรียนรู้ที่มีเป้าหมาย และช่องทางการแชร์ความคิดเห็นและข้อกังวลที่ได้รับความสำคัญ การเริ่มต้นใช้งานนวัตกรรมใหม่ เช่น AI จะสร้างความหวาดกลัวและขัดขวางการดำเนินงานขององค์กรน้อยลง
ช่วยให้พนักงานเข้าใจว่า AI คือส่วนเสริม ไม่ใช่สิ่งทดแทน
ผู้นำต้องเริ่มเตรียมบุคลากรของตนให้รับรู้ว่าเครื่องมือ AI เป็นตัวช่วยมากกว่าการทดแทน ไม่ว่าผู้คนจะทราบหรือไม่ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว ตั้งแต่สมาร์ทโฟนและรถยนต์อัจฉริยะไปจนถึงโซเชียลมีเดีย การตรวจคำผิด หรือแม้แต่การค้นหาด้วย Google
อยู่ ๆ งานที่เคยท้าทายมาก่อนก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วยความช่วยเหลือจาก AI ผู้นำต้องแสดงความกระตือรือร้นในการจัดเตรียมและให้ความรู้แก่ทีมเกี่ยวกับศักยภาพของการใช้งาน AI ช่วยให้พนักงานเรียนรู้ว่าทำไมบทบาทของพวกเขาจึงมีความสำคัญ และพวกเขาสามารถสร้างมูลค่าได้มากขึ้นจากการใช้ AI เป็นเครื่องมือ
บ่อยครั้งที่ผู้คนไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวเทคโนโลยี แต่เป็นผลกระทบต่อบทบาทของพวกเขา ในเคสของ AIและ ChatGPT ความกลัวหลักคือ AI จะเข้ามาแทนที่โดยทำให้งานเป็นอัตโนมัติทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็มีบทบาทมากพอจนพวกเขาไม่มีความจำเป็น
สิ่งที่ผู้คนมักจะไม่คิดถึงก็คือเมื่องานกลายเป็นแบบอัตโนมัติ โอกาสใหม่ ๆ จะปรากฏขึ้นเอง เมื่อพวกเขาว่างจากงานที่กินเวลามากหรืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การจดบันทึก การอนุมัติรายงานค่าใช้จ่าย หรือการค้นหาข้อมูล ผลผลิตและความคิดสร้างสรรค์สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้ พนักงานจะพบว่าพวกเขามีเวลาในการทำงานที่ซับซ้อนและมีความหมายมากขึ้น
การเริ่มใช้งานและปรับตัวให้เข้ากับ AI นั้นจำเป็นต้องมีการพัฒนาทักษะเดิม และในบางกรณีจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ทักษะใหม่ ในกรณีอื่น ๆ ทั่วไป AI จะช่วยลดภาระของพนักงานที่มีแนวโน้มที่จะทำงานหนักเกินไป การที่มีเวลาพักมากขึ้นจะช่วยพนักงานให้ยอมรับแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น เพื่อให้ทั้งหมดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำจะต้องพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมและออกแบบเส้นทางการเรียนรู้เพื่อให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากทีม และช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าไปได้
ในฐานะผู้นำ เป็นความรับผิดชอบของคุณในการสร้างวัฒนธรรมที่น่าตื่นเต้นด้วยศักยภาพในการพัฒนาประสบการณ์การทำงานของทุกคนมากกว่าที่จะกลัวการเปลี่ยนแปลง ในการข้ามจากความกังวลไปสู่ความตื่นเต้นและช่วยเร่งการนำ AI มาใช้ในบริษัท ผู้นำควรประเมินความพร้อมของบริษัทสำหรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่พวกเขาต้องเอาชนะเพื่อสิ่งที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอนในอนาคต
Leave a Reply