fbpx

ข้อกำหนดของคริปโตจะต้องเป็นไปในเชิงปฏิรูป

640 394 Content Writer

เมื่อเดือนที่แล้วทางรัฐบาลอินเดียได้สร้างปรากฏการณ์ที่ต้องพาดหัวข่าวไปทั่วโลกในเรื่องเจตนารมณ์ที่จะแบนการครอบครอง, ประกัน, ขุด ซื้อขาย หรือ เปลี่ยนถ่าย cryptocurrency และ สินทรัพย์คริปโต ถ้าข้อกำหนดนี้ถูกอนุมัติ ตัวบทกฎหมายจะส่งผลให้อินเดียกลายเป็นประเทศแรกที่ ทำให้ cryptocurrency เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย

 

ผู้คนต่างมีความเห็นที่หลากหลายว่าการบริหารจัดการที่ปฏิรูปใหม่นี้จะส่งผลให้ผู้ที่ถือครอง cryptocurrency นั้นมีโทษหรือไม่ แต่ตามประกาศของกระทรวงกิจการบริษัทของอินเดียที่ได้ออกข้อกำหนดให้ทุกบริษัทที่เกี่ยวข้องกับcryptocurrency เปิดเผยตัวเลขทางการเงินของจำนวน cryptocurrency ทั้งหมดที่ตนถือครองอยู่

 

ข้อเสนอและปฏิกริยาตอบกลับ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า cryptocurrency นั้นมีอุปสรรคจากทางรัฐบาลส่วนใหญ่ธนาคารกลาง และผู้ที่กำกับดูแลทางด้านการเงินอย่างไร พวกเค้ามีความกังวลในความจับต้องไม่ได้ และการติดตามแหล่งที่มาที่ไปไม่ได้ซึ่งเอื้อให้สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ถูกใช้ประโยชน์ในแง่การฟอกเงินในเครือข่ายผู้ก่อการร้ายและการหลบเลี่ยงภาษี

 

การคุ้มครองผู้บริโภคก็ถือเป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน ด้วยสกุลเงินที่มากกว่า 4,000 สกุลของ cryptocurrency ที่มีอยู่ในตลาดโลกจะเห็นได้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อนักลงทุนรายย่อยเต็มไปหมด การเข้ามาของ cryptocurrency นั้นได้ท้าทายสกุลเงินปกติ รวมไปถึง การควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของรัฐบาล ในขณะที่ธนาคารกลางหลาย ๆ แห่งต่างก็พยายามจะสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตนขึ้นมา ตัวอย่างเช่น Fedcoin ของอเมริกา ดิจิทัลหยวน ของจีน หรือ เงินสกุล อินทนนท์ ของธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ในขณะที่ข้อควรระวังเดิมยังคงอยู่ เราก็ไม่ควรมองข้ามประโยชน์ของ cryptocurrency และเทคโนโลยีทางการเงินในรูปแบบกระจายอำนาจเช่นนี้ ระบบดังกล่าวช่วยให้การโอนเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ค่าธรรมเนียมถูกลง และมีความโปร่งใสมากขึ้น และยังสามารถขยายการเชื่อมโยงทางการเงินได้มากขึ้น ในระยะหลังมานี้สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ มีผู้คนกว่า 198 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีข้อมูลในธนาคาร นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีบัญชีธนาคารนั่นเอง และมีคนจำนวน 98 ล้านคนที่มีรายชื่อในธนาคาร จากผลการวิจัยของ Bain Temasek และ google

 

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง cryptocurrency นั้นจะเข้ามา disrupt และ เปลี่ยนแปลงระบบการเงินรูปแบบเดิม ๆ อย่างน้อยที่สุดที่พอจะเห็นได้ก็คือ การเข้ามาของอินเตอร์เน็ต และ สมาร์ทโฟน  ซึ่งเป็นส่วนที่มีนวัตกรรมและวิวัฒนาการที่เร็วที่สุด ฉะนั้นกฎหมายที่มีประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับแนวทางแก้ปัญหาที่ผ่านการปฏิรูปมาแล้ว

 

สกุลเงินที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นมีเป้าประสงค์ที่ต่างกันในแต่ละภูมิภาค ประเทศจีนคือประเทศที่มี 60% ของเหมืองขุดสกุลเงิน cryptocurrency ที่ทรงประสิทธิภาพและทรงพลังมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจะแบนการขุดสกุลเงิน Magnolia ภายในสิ้นเดือนนี้  ส่วนเวียดนามนั้นก็กำลังสำรวจว่าจะเข้าไปควบคุมจัดการกับเงินตราเสมือนจริงเหล่านี้อย่างไร

 

อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย มีกรอบการทำงานทางด้านกฎหมายที่เข้าที่เข้าทาง และยังมีความระมัดระวังแต่ค่อนข้างที่จะเปิดกว้าง ประเด็นล่าสุดของประเทศไทยคือ Bitkub Exchange ที่ทาง กลต. ได้ระงับการลงทะเบียนของลูกค้าที่เป็นนักลงทุนไปจนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้แพลตฟอร์มมีความพร้อมเพียงพอในการรองรับเชิงปริมาณ และปกป้องลูกค้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวอย่างความท้าทายที่ดีเลยทีเดียว

 

สิงคโปร์อาจจะเป็นประเทศที่มีการตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างเสรีมากที่สุด ด้วยกฎข้อบังคับที่มุ่งเน้นในเรื่องการป้องกันการกระทำผิดโดยไม่มีการปิดกั้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

 

หน่วยงานที่เข้ามากำกับดูแลจะพบกับความท้าทาย ในการที่ต้องก้าวนำบรรดา developer ของสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่เสมอ แต่ยิ่งก้าวนำทางนวัตกรรมมากขึ้นเท่าไหร่ ดูเหมือนทีม developer ก็ยิ่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลและ blockchain มากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

 

ตามหลักแล้ว กฎข้อบังคับที่มีประสิทธิภาพและมีการปฏิรูปจะช่วยเร่งให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินในภูมิภาค ช่วยให้เกิดระบบแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็นทั้งผู้กำกับดูแล ธนาคาร เทคโนโลยีทางการเงิน และ การแลกเปลี่ยนคริปโต ซึ่งสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาสำหรับธุรกิจและผู้คน ในขณะที่ระบบสำหรับคนหมู่มากก็กำลังถูกสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องยากต่อการลงมือของผู้กระทำผิดกฎหมาย

 

crypto-regulation-must-be-innovative

 

Coinbase คือแหล่งที่นำ cryptocurrency ไปสู่ Wall Street

คืนวันอังคาร ทาง Nasdaq ได้ตั้งราคาอ้างอิงสำหรับ   Coinbase ที่หุ้นละ 250 เหรียญสหรัฐ  เมื่อพิจารณาถึงหุ้นหมุนเวียนตัวเลือกหุ้นและหุ้นที่ถูก จำกัด การประเมินมูลค่าโดยรวมของ Coinbase จะเริ่มต้นที่ 65.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ Coinbase กลายเป็นหุ้นใหม่ที่มีมูลค่าสูงสุดเมื่อเปิดตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น นับตั้งแต่เมื่อปี2019 ที่ Uber ได้เคยทำสถิติไว้

 

บริษัท Coinbase เลือกใช้กลยุทธ์แบบ direct listing ที่ไม่มีการเสนอขายหุ้นใหม่แต่เอาบริษัทของตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์และทำการระดมทุนจาก ผู้ถือหุ้นปัจจุบัน ซึ่งก็คือ ผู้ก่อตั้ง พนักงาน และ นักลงทุนในประวัติบริษัท ซึ่งถือเป็นโอกาสในการขายหุ้นเข้าสู่ตลาด

Spotify Slack Palantir และ Roblox ก็ล้วนแต่ใช้วิธีดังกล่าวในการเปิดตลาดใน Wall Street

เกือบ 115 ล้านหุ้นของ coinbase จะถูกขายในตลาดหุ้นและราคาอ้างอิงก็จะถูกประกาศในวันอังคาร

 

บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ในซานฟรานซิสโก โดย ไบรอัน อาร์มสตรอง และ เฟรด เออร์ซัม ด้วยรูปแบบแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้สามารถซื้อและขาย cryptocurrency ได้ 50 สกุลรวมไปถึง bitcoin และ ether บริษัท coinbase มีลูกค้ามากถึง 56 ล้านคนและผู้ใช้มากกว่าหกล้านคนนิด ๆ ที่ทำธุรกรรมผ่านระบบทุกเดือน จากผลที่ประเมินออกมาในช่วงไตรมาสแรกและ รายงานในต้นเดือนเมษายน

 

บริษัทประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากราคาที่พุ่งขึ้นของ bitcoin ในปีที่แล้ว ด้วยราคาสินทรัพย์คริปโตที่เพิ่มขึ้นจาก 6,500 เหรียญสหรัฐ เมื่อเมษายนปีที่แล้วมาสู่ยอดที่สูงถึง 63,000 เหรียญสหรัฐ ในวันอังคาร

 

ในสภาวะของการตื่นตัวต่อการหลั่งไหลเข้ามาของ ceyptocurrency และสกุลเงินเสมือนจริงอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่นLitecoin หรือ Stellar Lumens ก็มีการพุ่งขึ้นของราคาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“Bitcoin ก็ราคาพุ่งไปสองเท่าแล้วในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา และ cryptocurrency ก็กำลังกลายเป็นที่นิยมจากการที่นักลงทุนพากันหลั่งไหลเข้ามา มันสามารถอ้างได้อย่างแน่นอนว่า คริปโตจะกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่าน” ไมเคิล ฮิวสัน หัวหน้านักวิเคราะห์การตลาดของ CMC Markets ประเทศอังกฤษ กล่าว

 

จากความสำเร็จของ coinbase และ cryptocurrency โดยทั่วไปนั้น ได้ทำให้เกิดความคิดในการแข่งขันขึ้น ผู้นำทางด้านแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน cryptocurrency อย่าง Kraken ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไว้ว่าเขาคาดหวังที่จะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นในปีหน้า โดยผ่านรูปแบบ direct listing ด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าสถานการณ์เป็นใจเฉกเช่นเดียวกับกรณีของ Coinbase ก็จะมีความระมัดระวังจากการกดซื้อของบรรดา observer ที่จะมีความไว้วางใจในบริษัทโดยดูจากราคาของสกุลเงินเสมือนจริง

 

ก่อนจะไปถึงการพุ่งขึ้นของราคาอย่างน่าจับตามองในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา bitcoin ก็เคยมีประสบการณ์ของการ setback โดยเฉพาะในช่วงปี 2018 ที่ราคาร่วงลงอย่างต่อเนื่อง

บางคนถึงกับให้เรียกร้องไปยังผู้ที่ออกกฎหมายที่ไม่น่าเชื่อถือในหลาย ๆ ประเทศที่มีความกังวลว่า cryptocurrency จะถูกใช้ไปในทางผิดกฎหมาย

 

Coinbase ได้ถูกควบคุมดูแลโดย หน่วยงานกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯหรือ  US Commodity Futures Trading Commission (CFTC) ในการ “รายงานข้อมูลที่มีความผิด ความคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องแม่นยำ” เกี่ยวกับ cryptocurrency และการปั่นตลาด ในช่วงระหว่างปี 2015-2018

 

ทาง coinbase ได้จ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงินจำนวน 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปราศจากการยอมรับว่ากระทำความผิด และถูกบังคับให้ขายทอดหุ้นคืนสู่ Wallsetreet

ความจริงอีกประการที่อาจจะเป็นสาเหตุให้ coinbase ตกเป็นรองก็คือ ค่าคอมมิชชั่นที่เคยเป็นรายได้หลักของบริษัท

 

การบังคับคดีเหล่านี้สูงกว่าที่เคยเกิดขึ้นกับคู่แข่งของ coinbase เอง ไม่ว่าจะเป็น Binance ที่ก่อตั้งขึ้นในจีน และดูเหมือนว่าจะทำการเตือนบรรดาผู้กำกับดูแลมากกว่าที่ coinbase ทำซะอีก

 

ในส่วนของ Bloomberg ที่ CFCT ได้เปิดให้มีการสอบสวนในกรณีของ Binance ที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนผ่านทางเอเจนซี่ซึ่งถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายโภคภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกา

 

Author

Content Writer

All stories by: Content Writer

Leave a Reply

Your email address will not be published.