หยวนดิจิทัลจะไม่ได้เข้ามาแทนที่เงินสกุล US Dollar ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ได้กล่าวไว้
ปีหน้า บรรดานักท่องเที่ยวและนักกีฬาจะเข้าร่วมในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งอาจจะใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้ในการจับจ่ายใช้สอยทั้งการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งนั่นก็คือ หยวนดิจิทัล หรือ
แม้แต่ในภูมิภาคที่ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้มีการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สกุลเงิน CNY ก็ยังมีความโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งการทดลองใช้จะดำเนินการใน
4 มณฑลของจีน ในเดือนพฤษภาคม 2020 จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ของ Bank of China (PBOC) ก็ได้ทำการขยายแพลตฟอร์มนี้ไปยังธนาคารหลัก บริษัทค้าปลีกทั้งในจีนเองและบริษัทต่างชาติ, ดิจิทัลแอพพลิเคชั่น และ เมืองฮ่องกง ซึ่งทาง PBOC ก็ได้อ้างถึงจำนวนผู้ใช้ที่มากถึง 10 ล้าน users ที่ลงทะเบียนเพื่อทดลองการใช้เงินดิจิทัลสกุลดังกล่าว
จากขอบข่ายในการให้บริการและการเปิดให้บริการที่รวดเร็ว ซึ่งนำมาสู่ความกังวลในเรื่อง “จีนกำลังจะคว้าชัยในตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยการเลือกเดิมพันฝั่งที่เป็นรอง” Michael J. Casey, หัวหน้าฝ่ายคอนเทนต์จาก Coindesk ได้กล่าวไว้ คณะบริหารของ ประธานาธิบดีไบเดน ได้ออกมารายงานถึงความกังวลที่มีอย่างเป็นทางการว่า หยวนดิจิทัลกำลังคุกคามสถานะของสกุลเงิน US Dollar เนื่องจากมีความโดดเด่นมากกว่า สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตามมานั้นได้อยู่ในประโยคที่ทางสภา Atlantic นาย Josh Lipsky ได้กล่าวไว้ว่าสกุลเงินนี้ “เป็นปัญหาต่อความมั่นคงของชาติ”
แต่ทางสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับหยวนดิจิทัลของจีน (e-CYN) ซึ่งทางศาสตราจารย์ Eswar Pradad จาก Trade Policy มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ผู้เขียน The Future of Money: How the Digital Revolution Is Transforming Currencies and Finance, ที่กำลังจะจัดพิมพ์ในเดือนกันยายนนี้
ศาสตราจารย์ Prasad ได้ให้เหตุผลว่า สกุลเงินต่างประเทศที่ใช้เป็นทุนสำรองนั้นจำเป็นจะต้องมีระบบที่เหมาะสม ซึ่งนั่นก็คือธนาคารกลางหลักพื้นฐานทางกฎหมาย และหลักการตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจ และสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า “จีนกำลังเดินหน้าไปสู่สิ่งเหล่านี้”
เนื้อหาจาก Subscribe to Eastworld ซึ่งเป็นบทความเชิงลึกประจำสัปดาห์ ได้นำเสนอเรื่องสิ่งที่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจในเอเชีย ซึ่งเป็นบทความที่ส่งเข้าอีเมล์ของผู้อ่านโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ศาสตราจารย์ Prasad จะไม่เห็นด้วยกับขาขึ้นของการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัล
เขาได้ชี้ให้เห็นถึงจุดจบของการใช้เงินสดที่กำลังจะมาถึง “เงินสดนั้นมีข้อดีหลายประการ แต่ข้อดีเหล่านี้กำลังจะถูกพัดหายไป ผ่านทางประโยชน์ของการใช้จ่ายเงินผ่านระบบดิจิทัลที่ทำได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส” ศาสตราจารย์ Prasad ได้กล่าวไว้ ระหว่างการสัมภาษณ์ ของ Fortune‘s Clay Chandler ในรายการ Eastworld Spotlight.
นวัตกรรมที่นำมาซึ่งการเข้าถึงทางการเงินของระบบการใช้จ่ายจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ อย่างเช่นบรรดาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก และมีประชากรจำนวนมากที่ไม่มีบัญชีธนาคารในประเทศเหล่านี้ ศาสตราจารย์ Prasad กล่าวว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มีศักยภาพที่จะแซงหน้าภูมิภาคอื่น ๆ หากมีการนำเทคโนโลยีทางการเงินมาใช้ “ยังไม่มีใครที่เข้ามาประจำตำแหน่งเพื่อขัดแข้งขัดขาผู้เล่นหน้าใหม่”
จากการให้คำสัมภาษณ์กับทาง Fortune ศาสตราจารย์ Prasad ได้พูดเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล อนาคตของเงินสด และกลุ่มเป้าหมายของหยวนดิจิทัล ซึ่งมีการแก้ไขเนื้อหาของบทสัมภาษณ์ให้กระชับและชัดเจนมากขึ้น
Fortune: เงินสดจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?
Eswar Prasad: จุดจบของเงินสดนั้นรออยู่แล้วแน่นอน เพราะว่าการใช้จ่ายในรูปแบบดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นด้วยบัตรหรือ แอพพลิเคชันบนมือถือจะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่และหลาย ๆ ตลาดที่เพิ่งเติบโตขึ้นมา เรามีเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคได้เยอะขึ้นมาก รวมไปถึงการทำธุรกรรมของธุรกิจต่าง ๆผ่านทางรูปแบบดิจิทัลนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เงินสด
แต่ประเทศที่มีเศรษฐกิจในขนาดเล็กลงมาอย่างสวีเดน และ เศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาอย่างในจีน กลับเข้าสู่การเปลี่ยนถ่ายโดยหันมาใช้สกุลเงินดิจิทัลกันแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ในหลาย ๆ พื้นที่เศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา ธนาคารกลางของสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คือช่องทางที่จะช่วยกระจายระบบไปสู่ประชาชน รวมไปถึงครอบครัวที่ยากจนและไม่มีบัญชีธนาคาร ด้วยความง่ายต่อการเข้าถึงของระบบใช้จ่ายนี้ จะช่วยดึงให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในระบบ
แต่สำหรับประเทศสวีเดนนั้นมีวัตถุประสงค์หลายอย่างที่ต่างออกไป ธนาคารสัญชาติสวีดิช อย่าง Riksbank ก็แฮปปี้กับผู้ให้บริการทางด้านการเงินเอกชน แต่สิ่งที่พวกเขากังวลก็คือ หากเงินในธนาคารกลางหายไปเพราะว่ามันใช้เวลาสั้นมากในสวีเดน และถ้าโครงข่ายทั้งระบบไปอยู่ในมือของเอกชนอาจจะนำมาซึ่งความเสียหายได้ ดังนั้น e-Krona จึงเข้ามาทำหน้าที่ระบบ backup สำหรับการใช้จ่าย ซึ่งสามารถรองรับการใช้จ่ายได้ทุกรูปแบบหากระบบของเอกชนไม่สามารถทำได้
ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นผู้นำที่ทันสมัยมาก ๆ ในเรื่องธนาคารกลางสำหรับสกุลเงินดิจิทัล แต่จีนเองกลับแบน Cryptocurrencies
มันไม่ได้เป็นแค่ในประเทศจีน หลาย ๆ รัฐบาล รวมถึง หลายองค์กรที่กำกับดูแลต่างพากันกังวลในเรื่องนี้เพราะคอนเซ็ปต์การสร้างบิทคอยน์ขึ้นมานั้นมันเอื้อต่อการสืบหาตัวตนได้ยาก รวมไปถึงเอื้อต่อการนำระบบใช้จ่ายที่ราคาประหยัดแต่คุณภาพต่ำเข้ามาใช้ และยังมีความกังวลอีกด้วยว่า Cryptocurrenciesนั้นจะช่วยในการสนับสนุนการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ทั้งในและต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน บิทคอยน์ได้กลายมาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไปเพราะมีความยุ่งยากในการใช้สูง
การที่จะทำให้บิทคอยน์กลายมาเป็นธุรกรรมการเงินที่ถูกต้องนั้นเป็นไปได้ช้ามาก ซึ่งค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง: อัตราเฉลี่ยของค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมโดยใช้บิทคอยน์จะอยู่ที่ 20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ คุณจึงไม่สามารถซื้อกาแฟโดยจ่ายด้วยบิทคอยน์ได้ยกเว้นแต่กาแฟแก้วนั้นจะพิเศษและราคาสูงมาก ๆ
ในทางกลับกัน บิทคอยน์และ Cryptocurrencies สกุลอื่น ๆ สามารถเก็บรักษามูลค่าไว้ได้ ซึ่งก็ได้สร้างปัญหาในตัวของมันเอง ถ้าคุณมีผู้ที่มาลงทุนกับคุณมาก ๆ โดยเฉพาะผู้ลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลงทุนรายย่อยที่ฝากเงินเข้าไปในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยที่ไม่มีความปลอดภัย และไร้ซึ่งตัวตน สักวันฟองสบู่ก็จะต้องแตก และไม่มีความเสถียรทางการเงินใด ๆ ผมคิดว่าประเด็นเหล่านี้ทำให้ธนาคารกลางของจีน และหน่วยงานที่กำกับดูแลทั้งในประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ เป็นกังวลเอามาก ๆ
เป็นที่ถกเถียงกันมากว่าขาขึ้นของ CBDC ของจีนนั้นเป็นเรื่องที่อเมริกาควรระวัง และสกุลเงินนี้มีศักยภาพที่เข้ามาแทนที่สกุล ยูเอส ดอลลาร์ของสหรัฐ คุณช่วยพูดถึงเรื่องความกังวลนี้หน่อยได้ไหม?
ผมไม่ได้กังวลอะไรนะ เพราะ e-CNY นั้นจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางการเงินของเงินสกุล
เหรินหมินปี้ในตลาดโลกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งรูปแบบของการใช้จ่ายระหว่างประเทศเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางการค้าหรือการเงิน ก็เกือบจะเป็นดิจิทัลกันหมดแล้ว และเจ้าหน้าที่ของ Bank of China ก็ได้ออกมาแถลงอย่างชัดเจนว่า อย่างน้อยก็ในระยะสั้น ๆ ที่ไม่ได้เห็นเงินสกุล e-CNY ถูกใช้ในการทำธุรกรรมนอกประเทศ
แต่สิ่งที่จะมีผลจริง ๆ สำหรับเงินทุนสำรองก็คือ ขนาดของธุรกิจของประเทศ รวมไปถึงการไหลเวียนของการเงินในตลาด
สิ่งนี้ต้องการขอบข่ายการทำงานของระบบที่เรียกความมั่นใจได้จากนักลงทุนต่างชาติ รวมไปถึงธนาคารกลาง หลักพื้นฐานทางกฎหมาย และหลักการตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจท่ามกลางการดูแลของรัฐบาลซึ่งเป็นคุณสมบัติของสกุลเงินสำหรับเงินทุนสำรอง ซึ่งจีนก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพแล้วว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่จุดนั้น
Leave a Reply