กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนล เร่งดำเนินงานตามกรอบการฟื้นฟูของอาเซียนภายหลังโควิด-19 เตรียมคลอดแผนบันดาร์เสรีเบกาวัน เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจดิจิทัล ด้านไทย ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน หรือ SEOM ครั้งที่ 2/52 เมื่อวันที่ 8-10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านระบบประชุมทางไกล เพื่อเร่งรัดการทำงานตามพิมพ์เขียวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) รวมทั้งเตรียมการประชุมหาแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับประเทศนอกภูมิภาค ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา แคนาดา และอินเดีย
ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนงานด้านเศรษฐกิจสำคัญประจำปี 2564 (PED) ที่บรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนผลักดัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการฟื้นฟู ด้านการเป็นดิจิทัล และด้านความยั่งยืน จำนวน 13 ประเด็น เช่น การจัดทำเครื่องมือประเมินประสิทธิภาพของมาตรการ NTM ของประเทศสมาชิก (NTM Toolkit) ซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว การจัดทำแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 การหารือจัดทำเอกสารอ้างอิงเพื่อนำไปสู่การประกาศเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา ช่วงปลายปี เป็นต้น และยังได้ติดตามการทำงานตามพิมพ์เขียวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) เช่น การทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ATIGA) เพื่อรองรับรูปแบบการค้าปัจจุบันและลดอุปสรรคมากขึ้น การปรับปรุงตารางข้อผูกพันการเปิดตลาดการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาให้ภาคเอกชนและนักลงทุนเข้าใจง่ายและเป็นรูปแบบเดียวกัน
นายดวงอาทิตย์ กล่าวว่า ไฮไลท์ของการประชุมในครั้งนี้คือการหารือประเด็นใหม่ ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมให้เศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัว เช่น 1. การปรับปรุงแนวทางเพื่อส่งเสริมให้สินค้าและบริการของอาเซียนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลก (GVC) มากขึ้น โดยจะตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ 2. การเตรียมความพร้อมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในภูมิภาคตามแนวโน้มของโลก โดยไทยได้เสนอโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ที่อาเซียนสามารถนำไปปรับใช้ได้ 3. การจัดทำแผนงานระยะสั้นและกลางเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค (แผนงานบันดาร์เสรีเบกาวัน) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเชื่อมโยงและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตามที่ผู้นำอาเซียนได้มอบหมายไว้ เช่น การจัดตั้งคณะผู้พิจารณาอิสระเพื่อหาแนวทางแก้ไขหรือไกล่เกลี่ยปัญหามาตรการที่มิใช่ภาษี (NTM) ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การพิจารณาขยายบัญชีสินค้าจำเป็น (essential goods) ที่อาเซียนจะไม่จำกัดการส่งออกในช่วงโควิดเพิ่มเติมจาก ยา และเวชภัณฑ์ ไปยังสินค้าเกษตรและอาหารบางรายการอีกด้วย
ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2563 มีมูลค่า 94,838.07 ล้านดอลลาร์ เป็นการส่งออกจากไทยไปอาเซียน 55,469.59 ล้าดอลลาร์ และนำเข้าจากอาเซียน 39,368.47 ล้านเหรียญสหรัฐ มีตลาดสำคัญ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งสำนักเลขาธิการอาเซียนประเมินว่า ในปี 2564 เศรษฐกิจในภูมิภาคมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาเซียนจะกลับมาเติบโตในอัตรา 4.4% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.1% ในปี 2565
แหล่งอ้างอิง: กรุงเทพธุรกิจ
Leave a Reply