หากโลกหวังที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลาดยานยนต์จะต้องเร่งเปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในไปเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าโดยอาศัยนวัตกรรมใหม่ในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ นั่นหมายถึงการลงทุนครั้งใหญ่ของภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ แบตเตอรี่ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสครั้งใหญ่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนจากแนวทางที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อโลกในอนาคต
จากการวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (ASPS) คาดว่าอุตสาหกรรม EV จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว โดยส่วนแบ่งรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบันคิดเป็นเพียง 4-5% ของรถยนต์ทั้งหมด แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในปี 2568 และเป็น 28% ภายในปี 2573 เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเหล่านี้ ASPS แนะนำให้ลงทุนระยะยาวในหุ้น EV หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรม
เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตและการยอมรับของสาธารณชน รัฐบาลสหรัฐฯ และจีนได้ลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสถานีชาร์จ EV และให้การสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับจูงใจให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าผ่านการลดภาษี
อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในแง่ของนวัตกรรมและเทคโนโลยี EV จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนซัพพลายเชนของบริษัทยานยนต์ นอกจากนี้อุตสาหกรรมยังจะได้แรงสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่เสนอลดหย่อนภาษีให้กับทุกคนที่ซื้อ EV
ในขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์และแบตเตอรี่สำหรับ EV กำลังพัฒนาและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนการผลิตและราคาที่ลดลงจะส่งผลให้ EV มีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต
“หุ้น EV ในต่างประเทศที่น่าสนใจในขณะนี้ ได้แก่ Tesla และผู้ผลิต EV ของจีน” นางสาวกฤตยภรณ์ ธาดาสีห์ หัวหน้าฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของ ASPS กล่าว “นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้นเหล่านี้ได้โดยตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ไทยหรือกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ”
Tesla ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ และเป็นผู้นำ EVs
เมื่อพิจารณาถึงการครองตลาดแล้ว Tesla Inc เป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมีผลกำไรสุทธิติดต่อกันหลายไตรมาส แม้ว่าบริษัทจะมียอดส่งมอบ EV เพียง 500,000 คันในปี 2563 แต่มูลค่าตลาดของ Tesla ก็ยังสูงกว่าบริษัทยานยนต์รายใหญ่หลายแห่งรวมกัน
อุตสาหกรรม EV ในประเทศจีนเองก็กำลังเฟื่องฟูเช่นกัน สะท้อนให้เห็นจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ EV ของจีนส่วนใหญ่ยังคงขาดทุนสุทธิ แต่บริษัทเหล่านี้ควรดำเนินการผลิต EV ต่อไปจนกว่าต้นทุนจะลดลงซึ่งหมายความว่าผลกำไรจะตามมาในไม่ช้า นางสาวกฤตยภรณ์กล่าว
ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยได้ออกนโยบายเพื่อสนับสนุนการผลิต EV เพิ่มความต้องการในประเทศ และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้งานในหมู่ผู้บริโภค
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติภายใต้กระทรวงพลังงานได้มีการประชุมเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายสำหรับ EV โดยกำหนดเป้าหมายการใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่และปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ คณะกรรมการตั้งเป้าหมายการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนรวม 30,000 คันภายในปี 2565 225,000 คันในปี 2568 440,000 คันในปี 2573 และ 1,150,000 คันในปี 2578
ASPS มองว่านโยบายนี้เป็นประโยชน์สำหรับทั้งผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
เชื่อมั่นในแบตเตอรี่
มีหลายบริษัทในประเทศไทยที่กำลังผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บางแห่งซึ่งลงทุนในการผลิตจำนวนมาก ได้แก่ Energy Absolute (EA), Global Power Synergy (GPSC), Banpu (BANPU) และ Banpu Power (BPP)
EA ถือเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนรายใหญ่ของประเทศและเป็นผู้นำในธุรกิจแบตเตอรี่ บริษัทกำลังลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ผ่านบริษัทย่อย Amita Taiwan ซึ่ง EA เป็นเจ้าของประมาณ 70%
Amita Taiwan เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนท มีกำลังการผลิต 400 MWh และให้บริการแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไต้หวัน EA ต้องการรุกตลาดแบตเตอรี่ EV และคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าส่งให้ลูกค้าได้ภายในกลางปีนี้ ซึ่งหากการผลิตในระยะแรกดำเนินไปด้วยดี บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 49,000 MWh ในระยะต่อไป
GPSC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของปตท. ได้รับการกำหนดให้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ S-curve ของบริษัท โดยได้เริ่มโครงการนำร่องผ่าน 24M Technologies Inc ซึ่ง GPSC ถือหุ้นอยู่ 18% เพื่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบขนาด 30MWh ด้วยเทคโนโลยี Semi Solid ซึ่งเป็นนวัตกรรมในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต
GPSC ยังมีหุ้น 11.1% ใน Anhui Axxiva New Energy Technology Co (AXXIVA) ในประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่มีกำลังการผลิต 1,000 MWh โรงงานของ Axxiva อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ และจะสามารถส่งสินค้าให้กับอุตสาหกรรม EV ได้ภายในปี 2565 โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในประเทศจีน
ชิ้นส่วนยานยนต์จะทำกำไร?
นอกจากหุ้นแบตเตอรี่แล้วหุ้นชิ้นส่วนยานยนต์ก็น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ตามการวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า โดยแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ในปีนี้นั้นสดใส คาดการณ์ผลประกอบการของอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น 104% เมื่อเทียบเป็นรายปี อ้างอิงจากการฟื้นตัวของการผลิตรถยนต์ที่ 10% ในปีนี้ ซึ่งหมายถึงยอดขายรถยนต์จำนวน 1,570,000 คัน
บริษัทแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ โดยคาดว่าอุตสาหกรรมจะเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวและมีการเติบโตอย่างโดดเด่นตั้งแต่ปี 2564-2565 จากฐานกำไรที่ต่ำในปีที่ผ่านมา บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ด้วยแนวโน้มของตลาด EV ที่เติบโตในระยะยาวผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ ต้องปรับตัว
บริษัทกล่าวว่าในขณะที่ผู้ประกอบการบางรายอาจมองแนวโน้มของ EV ว่าเป็นการหยุดชะงัก แต่ก็มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์บางรายมองว่านี่เป็นโอกาสในการเติบโต ได้แก่ Thai Stanley Electric (STANLY) Interhides (IHL) และ Inoue Rubber (IRC)
Leave a Reply