นายจ้างต้องระวัง การลาออกของพนักงานจำนวนมากเริ่มมาตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด
การเฟ้นหาพนักงานที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาโดยตลอด แต่ทุกวันนี้มันยากกว่าที่เคยมาก และไม่มีทีท่าว่าจะง่ายขึ้นได้ในเร็ว ๆ นี้
อัตราการลาออก ที่หมายความถึงสัดส่วนของพนักงานที่ออกจากงานโดยสมัครใจ ทำสถิติใหม่ที่ 3% ในเดือนกันยายน 2021 จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแรงงานแห่งสหรัฐอเมริกา โดยมีค่าสูงสุดที่ 6.4% ในภาคการพักผ่อนและการบริการ รวมทั้งหมดแล้วมีพนักงานจำนวนมากถึง 20.2 ล้านคน ลาออกจากงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
บริษัทต่าง ๆ เองก็รับรู้ได้ถึงผลกระทบดังกล่าว โดยในเดือนสิงหาคม มีการสำรวจพบว่า 73% ของนายจ้าง 380 ราย ในอเมริกาเหนือกำลังประสบปัญหาในการดึงดูดพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปีก่อน และมี 70% คาดว่าความยากลำบากนี้จะคงอยู่ต่อไปในปี 2020
ผู้สังเกตการณ์กล่าวโทษปัจจัยหลายประการสำหรับการลาออกทั้งหมดนี้ ตั้งแต่ความกลัวที่จะติดเชื้อโควิด-19 จากการปะปนกับเพื่อนร่วมงาน ไปจนถึงค่าจ้างและสวัสดิการที่น้อยเกินไป
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลได้ตรวจสอบเกี่ยวกับการจ้างงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา รวมถึงผลกระทบที่มีต่อองค์กรและชุมชน
แม้ว่าพฤติกรรมการลาออกในปัจจุบันอาจดูเหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ แต่จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการลาออกของพนักงานนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และอาจเป็นเพียงความปกติรูปแบบใหม่ที่นายจ้างจะต้องทำความคุ้นเคย
อุปสรรคที่น้อยลงในการเปลี่ยนงาน
สหรัฐอเมริกาและประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าอื่น ๆ ได้เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นไปที่ภาคการผลิตมาเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการบริการมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 86% ของการจ้างงานทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา และ 79% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งหมด
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับนายจ้าง งานส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมการบริการต้องการเพียงทักษะการประกอบอาชีพทั่วไป เช่น ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ซึ่งมักจะสามารถเคลื่อนย้ายข้ามบริษัทได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้เป็นความจริงในหลากหลายวิชาชีพ ตั้งแต่นักบัญชีและวิศวกร ไปจนถึงคนขับรถบรรทุกและตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้า
ด้วยเหตุนี้ในระบบเศรษฐกิจที่มีการบริการเป็นหลัก จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายสำหรับพนักงานที่จะย้ายไปมาระหว่างบริษัทต่าง ๆ โดยที่ยังรักษาประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้
และด้วยผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศและโซเชียลมีเดียทำให้พนักงานสามารถค้นหาตำแหน่งงานใหม่ ๆ จากทั่วโลกได้ง่ายกว่าที่เคย
ความแพร่หลายของการทำงานระยะไกลที่เพิ่มขึ้นยังหมายความว่า ในบางกรณีพนักงานไม่จำเป็นต้องย้ายที่อยู่เพื่อเริ่มงานใหม่อีกต่อไป
ดังนั้นอุปสรรคและค่าใช้จ่ายของพนักงานที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนงานจึงลดลง
ตัวเลือกที่มากขึ้นและค่าใช้จ่ายที่น้อยลงหมายความว่า พนักงานสามารถเลือกได้มากขึ้นและมุ่งเน้นไปที่งานที่ตรงกับความต้องการของตนเองมากที่สุดได้
สิ่งที่ผู้คนต้องการจากการทำงานนั้นถูกกำหนดโดยค่านิยมทางวัฒนธรรมและสถานการณ์ในชีวิต ตลาดแรงงานสหรัฐคาดว่าจะมีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคตในแง่ของเพศ เชื้อชาติ และอายุ
ดังนั้นนายจ้างที่ไม่สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและความหลากหลายในสภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขาจะต้องพบกับความยากลำบากในการดึงดูดและรักษาพนักงานไว้
ปัจจุบันนายจ้างมีความจำเป็นที่มากขึ้นกว่าในอดีตในการโน้มน้าวใจพนักงานที่มีอยู่และพนักงานในอนาคต ว่าทำไมพวกเขาจึงควรอยู่หรือเข้าร่วมในองค์กรของตน และยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าแนวโน้มนี้จะเปลี่ยนไปในอนาคต
สิ่งที่บริษัทสามารถทำได้เพื่อปรับตัว
มีการประมาณการว่าค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการทดแทนลูกจ้างที่ลาออกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 122% ของเงินเดือนประจำปีของพนักงานคนนั้นในแง่ของการจัดหาและฝึกอบรม
ดังนั้นจึงมีแรงจูงใจอย่างมากสำหรับธุรกิจในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดแรงงานใหม่ และพัฒนาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมเพื่อให้พนักงานมีความสุขและอยู่ในงานเดิมของตน
การสำรวจในเดือนพฤษภาคมพบว่า 54% ของพนักงานที่ถูกสำรวจทั่วโลกจะพิจารณาลาออกจากงานหากพวกเขาไม่ได้รับความยืดหยุ่นเกี่ยวกับสถานที่และเวลาที่พวกเขาทำงานเลย
เนื่องจากพนักงานนั้นให้ความสำคัญมากขึ้นในการหางานที่เหมาะกับความชอบของตน บริษัทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องนำแนวทางแบบองค์รวมมาใช้มากขึ้นเกี่ยวกับประเภทของผลตอบแทนที่พวกเขามอบให้
สิ่งสำคัญคือต้องปรับแต่งประเภทของสิ่งจูงใจทางการเงิน สังคม และการพัฒนา รวมถึงโอกาสที่มอบให้ตามความต้องการของพนักงานแต่ละคน
มันไม่ใช่แค่การจ่ายเงินให้พนักงานมากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันมีแม้กระทั่งบริษัทที่ให้พนักงานเลือกรับเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin เพื่อเป็นสิ่งจูงใจ
แม้ว่าการปรับแต่งผลตอบแทนที่พนักงานแต่ละคนได้รับอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบริหารขององค์กร แต่การลงทุนนี้สามารถช่วยรักษาพนักงานที่มีความสำคัญไว้ได้
การจัดการกับความปกติรูปแบบใหม่
บริษัทต่าง ๆ ควรวางแผนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดในระดับที่สูงขึ้น และกำหนดแนวทางใหม่ในการจัดการพนักงานของตน
วิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้คือการลงทุนอย่างลึกซึ้งในความสัมพันธ์ภายนอกที่ช่วยให้เข้าถึงพนักงานที่มีความสามารถได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจรวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาและพนักงานเก่า
ตัวอย่างเช่น หลายองค์กรมีการออกนโยบายที่รับสมัครอดีตพนักงานกลับมาเข้าร่วมโดยเฉพาะ
อดีตพนักงานเหล่านี้มักมีค่าใช้จ่ายที่ไม่มากนักในการรับสมัคร มีความรู้ความสามารถที่จำเป็น รวมถึงมีทั้งความเข้าใจในระบบการทำงานและวัฒนธรรมขององค์กร
อัตราการออกจากงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงเวลาข้างหน้า ยิ่งนายจ้างยอมรับและปรับตัวได้เร็วขึ้นเท่าไร พวกเขาจะจัดการกับความปกติรูปแบบใหม่ได้ดีขึ้นเท่านั้น
Leave a Reply