คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศจีน
การเริ่มต้นธุรกิจในประเทศจีนมีความท้าทายมากเป็นพิเศษในแบบของตัวเอง ตั้งแต่การกำหนดประเภทของธุรกิจไปจนถึงการบริหารจัดการบริษัท ข้อแนะนำง่าย ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยเบื้องต้นในแง่มุมต่าง ๆ ที่คุณต้องพิจารณาในการเริ่มต้นธุรกิจในฝันของคุณ
เลือกรูปแบบของธุรกิจและเข้าใจถึงเงื่อนไขต่าง ๆ
รูปแบบของธุรกิจที่บริษัทต่างชาติสามารถดำเนินการในประเทศจีนได้มีทั้งหมด 5 แบบ ซึ่งจะมีขั้นตอนการจดทะเบียนและเงื่อนไขการพิจารณาที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจถึงผลดีและผลเสียของแต่ละรูปแบบนั้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้คุณรู้ถึงสิทธิและข้อจำกัดต่างๆในการจดทะเบียน
- วิสาหกิจประเภทชาวต่างชาติเป็นเจ้าของทั้งหมด (WFOE): เป็นรูปแบบธุรกิจที่พบได้มากที่สุด มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความเป็นอิสระ การใช้สกุลเงินต่างประเทศ และทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่าย ส่วนข้อเสียเปรียบหลักคือ เป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อนในการจัดตั้งมากที่สุดและยังต้องการเอกสารจำนวนมากรวมถึงหลักฐานทางการเงินด้วย
- กิจการร่วมค้าโดยทุน (EJV): คุณต้องจดทะเบียนบริษัทร่วมกับหุ้นส่วนชาวจีน โดยโครงสร้างนี้เปิดโอกาสในการใช้สกุลเงินต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีความยืดหยุ่นในเรื่องสิทธิ์ความเป็นเจ้าของและการจัดสรรหุ้นส่วน การทำงานกับหุ้นส่วนชาวจีนจะได้เปรียบในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมาย แต่จะมีความท้าทายในการประสานงานและตอบสนองต่อความคาดหวังของหุ้นส่วนนั้น
- กิจการร่วมค้าโดยสัญญาหรือความร่วมมือ (CJV): ลักษณะคล้ายกับกิจการร่วมค้าโดยทุน มีการแบ่งปันผลกำไรและรับความเสี่ยงระหว่างสองบริษัท มีข้อได้เปรียบคือการสนับสนุนจากทั้งสองฝ่ายจะทำได้ยืดหยุ่นกว่า อย่างไรก็ดีธุรกิจรูปแบบนี้จะมีข้อจำกัดทางกฎหมายที่มากกว่า ทำให้การจดทะเบียนเป็นไปได้ยากขึ้น
- สำนักงานตัวแทน (RO): มีจุดประสงค์หลักคือเป็นตัวแทนของบริษัทต่างประเทศในจีน แม้ว่าจะง่ายต่อการจัดตั้งและมีค่าใช้จ่ายน้อย แต่จะมีข้อจำกัดในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่อนุญาตให้มีการแสวงหากำไรโดยตรง หมายถึงไม่อนุญาตให้รับการชำระเงินหรือทำสัญญาใด ๆ
- วิสาหกิจการค้าที่ลงทุนโดยต่างชาติ (FICE): เป็นรูปแบบธุรกิจประเภทใหม่ที่พึ่งถูกเพิ่มเข้ามา โดยมีขั้นตอนการจัดตั้งที่ง่ายและไม่มีข้อกำหนดเรื่องเงินทุนขั้นต่ำ ถึงแม้ว่าข้อดีจะดูน่าสนใจแต่อาจจะมีผลเสียต่อกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากหุ้นส่วนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสี่ยงและความเสียหายเอง
การจัดตั้งธุรกิจส่วนใหญ่มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงเงินทุนจดทะเบียนขั้นต่ำตามขนาดและประเภทของธุรกิจนั้น ๆ โดยแม้ว่ากฎข้อบังคับนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้ง แต่การจดทะเบียนล่วงหน้าจะช่วยลดความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นหลังจากเริ่มดำเนินการแล้วได้
คัดเลือกหุ้นส่วน
ถึงแม้ว่าการจดทะเบียนกิจการร่วมกับหุ้นส่วนจะเป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้น คุณควรจะตรวจสอบหุ้นส่วนของคุณให้ละเอียด ทั้งเรื่องความสามารถทางธุรกิจและวิศัยทัศน์ในการทำงาน ให้เวลากับการเรียนรู้เรื่องราวของบริษัท บุคลิกลักษณะและประสบการณ์ของตัวบุคคล การให้ความสำคัญในส่วนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงลดโอกาสที่คุณจะกลายเป็นบริษัทต่างชาติอีกแห่งที่ต้องกลับบ้านมือเปล่าในอนาคต
เริ่มต้นธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
การดำเนินการเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทเป็นขั้นตอนสำคัญของความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว คุณควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรต่างๆของคุณจะได้รับการคุ้มครอง
- เครื่องหมายการค้า: คุณจะต้องส่งเรื่องไปที่ China Trademark Office โดยจะต้องมีชื่อของธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษ แมนดาริน และพินอิน จากนั้นทำการเลือกหมวดหมู่ของสินค้าและฐานข้อมูลอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ข้อมูลถูกต้องและไม่ซ้ำกับเครื่องหมายการค้าอื่น
- สิทธิบัตร: ดำเนินการโดย The State Intellectual Property Office (SIPO) แบ่งความคุ้มครองเป็น 2 ประเภท คือ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (มีผล 20 ปี) และผลิตภัณฑ์อรรตถะประโยชน์ (มีผล 10 ปี) ซึ่งจะเป็นการขอรับสิทธิ์ทั้งคู่พร้อมกันในทุกผลิตภัณฑ์
- ลิขสิทธิ์: ไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียน แต่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติมหากส่งเรื่องไปยัง National Copyright Administration of China (NCAC) โดยจะมีการเก็บข้อมูลที่จำเป็นไว้ใช้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง
หลังจากดำเนินการเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทแล้ว คุณจะต้องมีระบบจัดการที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่เรื่องความต้องการของพนักงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการด้านภาษีและประกันสังคมอีกด้วย
ในแง่การบริหารจัดการพนักงานต้องคำนึงถึงการฝึกอบรม การประเมินผล และนโยบายการสื่อสาร การเริ่มต้นธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่อวัฒนธรรรมองค์กรซึ่งมีผลต่อความสำเร็จในอนาคต ถ้าบริษัทของคุณมีการจ้างพนักงานทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ คุณควรใช้เวลาในการทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่อาจส่งผลถึงความคาดหวังและการตอบสนองของพนักงานเหล่านั้น
อีกหนึ่งความรับผิดชอบสำคัญของนายจ้างคือการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน สวัสดิการ หรือการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ เงื่อนไขมากมายเหล่านี้อาจทำให้เกิดความสับสนและดูเข้าใจได้ยาก เนื่องจากเวลามีการเปลี่ยนแปลงมักจะไม่มีการประกาศเผยแพร่มากนัก วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำความเข้าใจและรับมือคือการปรึกษาหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการใช้บริการจากภายนอกจะช่วยจำกัดเวลาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับเหล่านี้ได้
Leave a Reply