การใช้งานการวิเคราะห์ความสามารถของผู้สมัครเพื่อการจ้างงานอย่างถูกต้อง
ปัจจุบันธุรกิจทุกขนาดกำลังอยู่ในกระแสของการสรรหาบุคลากร โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ Dyson ได้เปิดเผยแผนการที่จะจ้างวิศวกรและไอทีใหม่จำนวน 900 คนในสหราชอาณาจักร แต่ก็มีแรงกดดันมหาศาลในการดำเนินการให้ถูกต้องท่ามกลางวิกฤตการลาออกและการรั้งตัวของพนักงานครั้งใหญ่ และผู้จ้างงานไม่มีทั้งเวลาหรือเงินที่จะทำผิดพลาดได้
ความท้าทายนอกเหนือจากนั้นที่ผู้จ้างงานต้องเผชิญก็คือความจริงที่ว่ากระบวนการสรรหาบุคลากรนั้นมีปัญหามาก เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยากทำให้วิธีการจ้างงานแบบเดิม ๆ ต้องใช้ความพยายามในการจัดการ มากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น เวลาที่ต้องใช้ในการดูเรซูเม่อาจนำไปใช้ได้ดีกว่าในการอบรมหรือการสร้างหลักสูตรพัฒนาพนักงานใหม่ และด้วยสภาพการทำงานที่บังคับให้มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นทั้งกับธุรกิจและตัวผู้สมัคร การจัดการสรรหาบุคลากรอย่างถูกต้องจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำได้ก็ดีอีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจใดก็ตามที่ไม่ตระหนักถึงประเด็นนี้จะเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญเมื่อพวกเขาต้องเร่งการจ้างงานและสร้างทีมใหม่หลังจากสถานการณ์โควิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นคำถามสุดท้ายคือผู้จ้างงานจะทำให้ถูกต้องได้อย่างไร
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ข้อมูล
ผู้จ้างงานได้มีการพิจารณาถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven AI) ในการจ้างงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้สมัครที่กว้างขึ้นและเห็นภาพรวมของความสามารถได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นมานานแล้ว แต่ด้วยความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ AI เจ้าของกิจการที่ไม่ค่อยมีเวลาจึงมักลังเลใจที่จะศึกษามัน เราต้องลบความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้งาน AI และช่วยให้ทั้งผู้จ้างงานและผู้สมัครใช้มันให้เป็นประโยชน์
การใช้ AI ในการจ้างงานสร้างประสิทธิภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด โดยช่วยให้ผู้จ้างงานสามารถทำงานที่น่าเบื่อหน่ายซึ่งเคยต้องใช้เวลามาก เช่น การติดตามผู้สมัครด้วยตนเองและการตอบกลับอีเมลจำนวนมาก ได้อย่างอัตโนมัติ และเนื่องจากความเร็วเป็นความกังวลอันดับหนึ่งสำหรับทั้งผู้สมัครและผู้จ้างงาน ด้วย AI ผู้สมัครสามารถหางานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการสมัครที่ยืดเยื้อ ส่วนผู้จ้างงานก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้านเวลาในการหาตัวแทนพนักงานได้
การประเมินความสามารถด้วยข้อมูลเป็นตัวอย่างหนึ่งของเครื่องมือ AI ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการจ้างงาน ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างภาพรวมของศักยภาพของผู้สมัคร ผู้จ้างงานจึงสามารถประเมินและเลือกผู้สมัครได้ตามทักษะและความสามารถ ไม่ใช่ตามชื่อของมหาวิทยาลัย
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ AI เชิงสนทนาอย่าง Chatbot ที่มอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นกับผู้สมัคร เช่น สามารถโต้ตอบกับผู้ช่วยเสมือนผ่าน SMS หรือ WhatsApp เพื่อหางานที่ตรงที่สุด นัดเวลาสัมภาษณ์ และรับการอัปเดตอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีการติดต่อกับคนโดยตรงเลย ทำให้ผู้จ้างงานสามารถมุ่งเน้นไปที่ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ลดเวลาที่ใช้ และมีเวลามากขึ้นในการทำตามแผนงานที่สำคัญอื่น ๆ
AI ยังสามารถช่วยปรับปรุงความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมรวม (DEI) ในการจ้างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สมัครในปัจจุบันให้ความสำคัญมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ และในบรรยากาศการจ้างงานที่ยากลำบากในปัจจุบัน บริษัทที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับ DEI จะดึงดูดผู้ที่มีความสามารถระดับสูงได้ แต่การที่ธุรกิจมีกลยุทธ์ DEI ที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่เพียงแค่ยกระดับการมีส่วนร่วมของพนักงานเท่านั้น การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าธุรกิจที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมมากกว่านั้นสามารถทำกำไรได้มากกว่าบริษัทที่มีความหลากหลายน้อยที่สุดถึง 36%
การใช้งาน AI เพื่อทำการคัดกรองผู้สมัครแบบอัตโนมัติ แทนที่จะพึ่งพาการพิจารณาเรซูเม่ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ถึงความสำเร็จของงานได้ จะช่วยลดอคติที่เกิดขึ้นในการสัมภาษณ์แบบเดิม ๆ ด้วย AI ผู้จ้างงานจะได้รับมุมมองแบบองค์รวมของผู้สมัครแต่ละคนมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กระดาษไม่สามารถทำได้
แม้ว่า AI จะมีประโยชน์มากมาย แต่ผู้จ้างงานจำนวนมากก็ยังคงลังเลที่จะใช้มัน บางคนโต้แย้งว่ามันขาดความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ บางคนบอกว่ามันตัดองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ออกไป แต่ AI นั้นไม่ได้หมายถึงการแทนที่มนุษย์ เราใช้มันเพียงเพื่อปรับปรุงและส่งเสริมการตัดสินใจของมนุษย์ในกระบวนการจ้างงาน
และเพื่อให้แน่ใจว่า AI ถูกใช้งานอย่างมีจริยธรรมและศีลธรรม ธุรกิจไม่ควรพยายามสร้างระบบด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้กระบวนการจ้างงานแย่ลงกว่าเดิม นอกจากนี้ AI สำหรับการสรรหาบุคลากรยังมีเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรวิชาชีพและข้อกฎหมายอีกจำนวนมากที่ธุรกิจอาจจะจะไม่ทราบหากพยายามจัดการด้วยตนเอง นี่คือเหตุผลที่การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการใช้งานเทคโนโลยี และเราก็กำลังเห็นหลาย ๆ ประเทศมีการออกกฎระเบียบเพิ่มเติมสำหรับการใช้งานอัลกอริทึมโดยทั่วไป ซึ่งมีผลกับการจ้างงานด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่าง Amazon ที่ได้สร้างเครื่องมือการจ้างงานด้วย AI แบบทดลองของตัวเองเพื่อให้คะแนนผู้สมัครตั้งแต่หนึ่งถึงห้าดาว ซึ่งตามทฤษฎีแล้วเป็นความคิดที่ดี แต่หลังจากเปิดตัวได้ไม่นานผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลกได้ตระหนักว่าระบบใหม่นี้ไม่ได้ให้คะแนนผู้สมัครในลักษณะที่เป็นกลางทางเพศ เนื่องจากมันได้รับการปรับให้ตรวจสอบผู้สมัครโดยสังเกตรูปแบบจากเรซูเม่ที่ถูกส่งไปยังบริษัทในช่วงระยะเวลา 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผู้ชาย
ความเป็นไปได้ในอนาคต
เห็นได้ชัดว่า AI สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการสรรหาบุคลากรได้ แต่ด้วยความซับซ้อนของมัน เราจึงไม่ควรใช้งานโดยไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน การใช้งาน AI โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงเป็นหนทางไปสู่หายนะทางงบประมาณ แต่เมื่อใช้งานอย่างถูกต้องผู้จ้างงานสามารถได้รับผลประโยชน์มากมาย ทั้งการลดต้นทุน เพิ่ม DEI รวมถึงเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพโดยรวม
ในขณะที่เราอาจเห็นว่ามีการนำไปใช้งานจริงในธุรกิจต่าง ๆ ค่อนข้างช้า แต่ AI กำลังจะกลายเป็นกระแสหลักในโลกของการจัดหางาน ซึ่งท้ายที่สุดมันจะเป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการที่องค์กรจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อบุคคลากรที่มีความสามารถ และจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขกระบวนการจ้างงานทั้งหมด
Leave a Reply