การส่งออกไทยขยายตัว 45.9% ในเดือนพฤษภาคม

กระทรวงพาณิชย์รายงานเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ว่าการส่งออกของประเทศไทยขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 11 ปี เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั่วโลกที่แข็งแกร่งและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้า ขณะที่รัฐบาลยังคงพยายามส่งเสริมเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ยอดการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น 45.9% ในเดือนพฤษภาคม หลังจากเติบโต 25.7% ในเดือนเมษายน และ 12% ในเดือนมีนาคม และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตที่ดี โดยการขยายตัวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแผนส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงในปีนี้ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในภาคการผลิต

การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศทำรายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน และมีอัตราการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 โดยสินค้าที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคม ได้แก่ สินค้าทางการเกษตรและอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ยาง ผักและผลไม้ ของสด ไก่แช่เย็นและแช่แข็ง น้ำมันปาล์ม เครื่องดื่ม อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องปรุงรส

กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยในระยะต่อไป เนื่องจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 เดือนติดต่อกัน ยอดการขนส่งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันก็โตขึ้นเช่นกันจากราคาส่งออกและอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ พร้อมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19

รัฐบาลไทยเตรียมเพิ่มงบลงทุนปี 2565 อีก 9 หมื่นล้านบาท

สำนักงบประมาณเปิดเผยว่ารัฐบาลไทยวางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณการลงทุน 9 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2565 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทางการเงินและการคลังของรัฐ

นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนจะเพิ่มงบประมาณการลงทุนในปี 2565 อีกจำนวน 9 หมื่นล้านบาท โดย 5-6 หมื่นล้านมาจากเงินกู้ฉุกเฉิน 5 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากงบลงทุนปี 2565 ของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ

ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดการใช้จ่ายภาครัฐไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 17.9% ของ GDP อย่างไรก็ตามมีการกำหนดงบลงทุนไว้เพียง 6.24 แสนล้านบาท ต่ำกว่ายอดขาดดุลที่ 7 แสนล้านบาท ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลจะต้องเพิ่มงบประมาณการลงทุนให้มากกว่า 7 แสนล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เนื่องจากงบประมาณการลงทุนต้องไม่น้อยกว่ายอดขาดดุลงบประมาณประจำปีของรัฐ

ผลกระทบในภาคการท่องเที่ยวชะลอการฟื้นตัวของไทย

Moody’s Investors Service กล่าวในรายงานฉบับใหม่ว่าการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำในโซนเอเชียแปซิฟิก (APAC) ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุปสงค์ในประเทศ แม้ว่าการฟื้นตัวของการค้าโลกจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกมากขึ้น

แม้ว่าภาคการผลิตที่เน้นการส่งออกของประเทศไทยจะมียอดส่งออกสินค้ามูลค่าสูงถึง 45% ของ GDP แต่ประเทศก็ยังคงพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอยู่ค่อนข้างมากที่ประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2562 ตามรายงาน “Sovereigns – Asia Pacific: Lagging vaccinations pose risks to domestic demand; exports provide buffer for some”

การเดินทางและการท่องเที่ยวส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 10% ของ GDP ก่อนเกิดการระบาด แต่ผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจนั้นขยายวงกว้างออกไปเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวนอกระบบขนาดใหญ่

การเผชิญกับสถานการณ์นี้จะฉุดรั้งการเติบโตของประเทศแม้ว่าจะมีการเปิดการท่องเที่ยวบางส่วนอีกครั้ง โดยทางการมีแผนที่จะยกเว้นข้อกำหนดการกักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนแล้ว เริ่มจากจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่างเกาะภูเก็ตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม รวมถึงตั้งเป้าที่จะเร่งการฉีดวัคซีนก่อนหน้านั้น ซึ่งปัจจุบันมีประชากรประมาณ 8% ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรกแล้ว

Moody’s คาดว่า GDP ที่แท้จริงของประเทศไทยจะขยายตัว 2.8% ในปี 2564 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวที่ค่อนข้างต่ำจากการหดตัว 6.1% ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นอีก 5.8% ในปี 2565 สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ล่าช้าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ภูเก็ตจะยกเว้นข้อกำหนดการกักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายใต้โมเดล “Phuket Tourism Sandbox” ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในเวลาเดียวกัน โดยโมเดลนี้กำลังถูกมองว่าเป็นต้นแบบสำหรับการกลับมาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกครั้ง